ภาวะเลือดออกผิดปกติและอาการคลื่นไส้ สัญญาณโรคร้ายที่อยู่ใกล้ตัวสาวๆ
เลือดออกผิดปกติร่วมกับอาการคลื่นไส้เป็นสัญญาณของโรคอะไรได้บ้าง
เมื่อมีความเครียดอย่างรุนแรงและใช้ชีวิตไม่เป็นระบบ ผู้หญิงหลายคนอาจเคยประสบกับภาวะเลือดออกโดยที่ไม่ได้มีประจำเดือน เมื่อฮอร์โมนในร่างกายของผู้หญิงเสียสมดุล ระบบของประจำเดือนก็จะไม่สามารถทำงานได้ตามปกติทำให้เกิดเลือดออกง่ายขึ้น
นอกจากนี้ ก่อนและหลังวันไข่ตกอาจมีเลือดออกเล็กน้อย ซึ่งส่วนใหญ่อาการเหล่านี้เป็นเพียงอาการชั่วคราว
หากมีเลือดออกผิดปกติและมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วยเช่น รู้สึกคลื่นไส้ ก็อาจเป็นไปได้ที่จะมีสาเหตุมาจากโรคอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ดังนั้น จึงจำเป็นต้องระมัดระวัง
เลือดออกผิดปกติและอาการคลื่นไส้ที่พบได้ในวันไข่ตก
ผู้หญิงหลายคนอาจมีความกังวลเมื่อรู้สึกไม่สบายตัว มีอาการปวดท้อง ตัวบวม และตัวเย็น แม้ไม่มีประจำเดือน
ซึ่งอาการเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงไข่ตกเช่นเดียวกัน
กล่าวคือ หลังจากสิ้นสุดช่วงมีประจำเดือนแล้วฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งเป็นฮอร์โมนผู้หญิงชนิดหนึ่งจะมีปริมาณเพิ่มขึ้น ทำให้ร่างกายเข้าสู่ช่วงที่มีอุณหภูมิต่ำ หลังจากนั้น เมื่อเข้าสู่ช่วงที่ไข่ตก
ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะเพิ่มปริมาณขึ้น ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาขึ้นและร่างกายเข้าสู่
ช่วงที่อุณหภูมิสูงขึ้น เมื่อความสมดุลของฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลงก็จะให้รู้สึกเหมือนไม่สบายได้
อาการสำหรับวันที่ไข่ตก
ได้แก่ การมีเลือดออกระหว่างรอบเดือน (การมีเลือดออกช่วงตกไข่) ความรู้สึกปวดท้องจากการไข่ตกเนื่องจากถุงไข่แตกขณะปล่อยไข่ออกมา ทำให้น้ำในถุงไข่และเลือดไหลออกมากระตุ้นเยื่อบุช่องท้อง
นอกจากนี้เนื่องจากรังไข่มีการอักเสบเล็กน้อย ทำให้รู้สึกตึงที่ท้องและบริเวณรอบมดลูก
อาการดังกล่าวจะพบได้ก่อนและหลังวันไข่ตกประมาณ 2-3 วัน
ซึ่งเป็นอาการที่แตกต่างกับการที่มีเลือดออกผิดปกติ เพราะเลือดที่ออกมาจะมีปริมาณน้อยและมีระยะเวลาสั้น
อาการส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นเนื่องจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเพิ่มมากขึ้น
ได้แก่ ตัวบวม ตัวเย็น ง่วงนอน คลื่นไส้ อ่อนล้า ผิวอักเสบ และท้องผูก เป็นต้น จากผลของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ร่างกายจะเตรียมพร้อมสำหรับการตั้งครรภ์ทำให้ดูดน้ำเข้าไปเก็บไว้
และรู้สึกง่วงนอนง่ายขึ้น ทำให้ในบางรายอาจรู้สึกคัดหน้าอกด้วย
อาการอื่นๆ ที่พบได้ในช่วงที่ไข่ตก
ได้แก่ ตกขาวมีปริมาณเพิ่มขึ้น หงุดหงิดง่ายขึ้น เป็นต้น โดยปริมาณตกขาว หรือระดูขาวจะเพิ่มขึ้นมากที่สุดช่วง 2-3 วันก่อนถึงวันไข่ตก
ส่วนอารมณ์จะอ่อนไหวได้ง่ายในช่วงก่อนและหลังของสัปดาห์ที่ 2 หลังจากเริ่มมีประจำเดือนทำให้สาวๆอาจเป็นกังวล
ก่อนอื่นควรตรวจสอบรอบเดือนของตนเอง เพื่อที่จะได้ทราบว่า ความรู้สึกไม่สบายมีสาเหตุมาจากการที่ไข่ตกหรือมีสาเหตุมาจากโรคภัยไข้เจ็บอื่น ๆ
โรคที่ทำให้มีเลือดออกผิดปกติและรู้สึกคลื่นไส้ได้ง่าย
ในวันที่ไข่ตกจะรู้สึกไม่ค่อยสบาย ในบางกรณีก็อาจมีสาเหตุมาจากโรคภัยไข้เจ็บได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องระมัดระวัง โรคที่ทำให้มีเลือดออกผิดปกติและมีอาการคลื่นไส้
ได้แก่ ปากมดลูกอักเสบ ซึ่งเป็นอาการอักเสบที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อ เช่น เชื้อ Chlamydia เชื้อ E. coli เชื้อ Staphylococcus อาการเริ่มแรกจะมีตกขาว ที่อาจมีสีเหลืองหรือเขียวเหลืองคล้ายหนองมีกลิ่นแรง เมื่ออาการรุนแรงขึ้นก็จะปวดท้องน้อย ปวดท้อง มีไข้ต่ำๆ
หากปล่อยทิ้งไว้อาการอักเสบจะลุกลาม ไปยังมดลูกและเชิงกรานทำให้เป็นเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบและอุ้งเชิงกรานอักเสบ
ซึ่งจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน มีเลือดออกผิดปกติและมีไข้สูงด้วย ทำให้มีเลือดออกผิดปกติร่วมกับอาการคลื่นไส้
มีสาเหตุมาจากโรคเยื่อบุโพรงมดลูก
เยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ
เยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ ในช่วงแรกจะมีอาการปริมาณตกขาว หรือระดูขาวเพิ่มขึ้นและรู้สึกปวดท้องส่วนล่าง เมื่อการอักเสบลุกลามก็อาจจะรู้สึกคลื่นไส้ ท้องเสีย และเจ็บเวลาอุจจาระ
การอักเสบของเยื่อบุโพรงมดลูกเกิดขึ้นได้ง่ายเมื่อปากมดลูกเปิด เช่น คลอดบุตร แท้งบุตร หรือทำแท้ง จึงจำเป็นต้องระมัดระวัง
เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่เป็นโรคที่มีสาเหตุมาจากเซลล์ซึ่งคล้ายกับเยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งปกติจะอยู่ภายในมดลูกเท่านั้น ไปเจริญเติบโตอยู่ที่อวัยวะต่างๆ เช่น รังไข่ ท่อนำไข่ ผิวของลำไส้ตรง
อาการที่พบได้ ได้แก่ มีเลือดออกผิดปกติ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องประจำเดือน ปวดท้องน้อย นอกจากนี้ อาจมีอาการปวดเอวขณะมีเพศสัมพันธ์ เจ็บด้านในทวาร และเจ็บขณะอุจจาระ
โดยเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบเป็นโรคที่พบได้มากในผู้หญิงอายุ 10 - 20 ปี และอาจเป็นสาเหตุของการมีบุตรยากได้ ดังนั้น หากมีอาการดังกล่าว ควรเข้ารับการตรวจที่แผนกสูตินารีและเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสม
การตั้งครรภ์นอกมดลูก
ในกรณีที่มีเลือดออกผิดปกติและรู้สึกคลื่นไส้คล้ายกับอาการแพ้ท้อง ก็มีความเป็นไปได้ที่จะตั้งครรภ์
ขอแนะนำให้ลองใช้อุปกรณ์ตรวจสอบการตั้งครรภ์ที่มีจำหน่ายตามท้องตลาดตรวจสอบดู บางรายก็เป็นการตั้งครรภ์ตามปกติ แต่บางรายก็อาจมีภาวะแท้งคุกคามหรือตั้งครรภ์นอกมดลูก
การตั้งครรภ์นอกมดลูกเป็นความผิดปกติของการตั้งครรภ์ระยะแรก
ส่วนใหญ่จะเป็นการตั้งครรภ์ที่ท่อนำไข่ซึ่งอาการจะไม่แตกต่างจากการตั้งครรภ์โดยทั่วไป ดังนั้นบางคนอาจเข้าใจผิด ว่าเป็นเพียงอาการประจำเดือนมาช้าจึงจำเป็นต้องระมัดระวัง
หากปล่อยทิ้งไว้จะเกิดการแท้งหรือมีเลือดออกผิดปกติเนื่องจากท่อนำไข่แตก
หรือทำให้เกิดอาการปวดท้องน้อยได้โดยเฉพาะในกรณีที่ท่อนำไข่แตกซึ่งมีความอันตราย เนื่องจากจะมีเลือดออกมากและอาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้
ดังนั้น สิ่งสำคัญ คือ การเข้ารับการรักษาที่เหมาะสมตั้งแต่ระยะแรก หลายคนเมื่อพบว่าเลือดที่ออกผิดปกติมีปริมาณน้อยก็มักจะปล่อยทิ้งไว้ แต่หากมีอาการคลื่นไส้ร่วมด้วยควรเข้ารับการปรึกษา
จากแผนกสูตินารีโดยเร็ว โดยหากเราบันทึกอุณหภูมิร่างกายเป็นประจำทุกวัน
ก็จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้ง่ายขึ้นว่าเป็นเลือดที่ออกผิดปกติเนื่องจากการไข่ตกหรือไม่
เมื่อมีเลือดออกผิดปกติและรู้สึกคลื่นไส้ควรเข้ารับการตรวจทันที
การมีเลือดออกผิดปกติเกิดขึ้นจากสาเหตุหลายประการ เช่น ความเครียด การใช้ชีวิตแบบไม่เป็นระบบ การลดน้ำหนักอย่างหักโหม ซึ่งทำให้เสียสมดุลของฮอร์โมน หากเป็นเพราะสาเหตุดังที่กล่าวมา การปรับปรุงการใช้ชีวิตประจำวันและปรับความสมดุลของฮอร์โมน ก็จะช่วยบรรเทาอาการ
เลือดออกผิดปกติได้
เลือดออกผิดปกติซึ่งเกิดขึ้นก่อนและหลังวันที่ไข่ตก
เรียกว่า เลือดที่ออกระหว่างรอบเดือน (เลือดออกช่วงไข่ตก) ตามปกติแล้วจะดีขึ้นภายใน 2-5 วันจึงไม่จำเป็นต้องกังวล หากมีเลือดออกผิดปกติและมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้
ก็อาจมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นโรคปากมดลูกอักเสบ โรคเกี่ยวกับเยื่อบุโพรงมดลูก หรือมีการตั้งครรภ์นอกมดลูกก็เป็นได้ นอกจากนี้ หากตกขาวมีปริมาณเพิ่มขึ้น
และเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ระยะเวลาที่มีประจำเดือนนานขึ้น มีปริมาณประจำเดือนเพิ่มมากขึ้น ก็มีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งปากมดลูกหรือมะเร็งมดลูก สิ่งสำคัญก็คือ การตรวจพบความผิดปกติเหล่านี้ให้เร็วที่สุดเพื่อรักษา
โรคมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งมดลูก
หากตรวจพบในระยะแรกก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะรักษาได้ ดังนั้น หากพบว่า เลือดออกในช่วงที่ไม่ใช่วันไข่ตก ปริมาณเลือดมากหรือประจำเดือนไม่มานานกว่า 2 เดือน แล้วแต่กลับมีเลือดออกผิดปกติ
และมีอาการคลื่นไส้ ปวดท้องร่วมด้วย ก็ควรเข้ารับการตรวจที่แผนกสูตินารีให้เร็วที่สุด หากเราบันทึกอุณหภูมิร่างกายเป็นประจำทุกวันก็จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้ง่ายขึ้น